แม้การเสริมคางจะเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน แต่ก็มีผู้เข้ารับบริการจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาคางผิดรูป ไม่เข้ากับใบหน้า หรือรู้สึกไม่พอใจกับผลลัพธ์หลังการศัลยกรรมครั้งแรก ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การเลือกซิลิโคนที่ไม่เหมาะสม เทคนิคที่ใช้ หรือโครงสร้างใบหน้าที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา การ “แก้คาง” จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยฟื้นคืนความมั่นใจ และปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนอย่างสมดุลยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณมาเช็ก 4 สัญญาณสำคัญที่คุณอาจต้องแก้คางใหม่ จะมีปัญหาไหนกันบ้างไปดูกัน
4 สัญญาณที่คุณอาจต้องแก้คาง
1. คางเบี้ยว ไม่สมมาตร
คางเอียงหรือเบี้ยวชัดเจนเมื่อมองตรง หรือรู้สึกว่าฝั่งซ้าย-ขวาไม่เท่ากัน อาจเกิดจากการเบี้ยวของซิลิโคน หรือฐานคางเดิมไม่เท่ากัน ซึ่งที่ Emma Clinic คุณหมอจะมีการตะไบคางก่อนทุกเคสทำให้เมื่อวางซิลิโคนลงไปจะแนบสนิทกับกระดูกคาง ลดโอกาสคางเบี้ยวเอียงในอนาคต
2. คางถอย ดูสั้น หน้าไม่มีมิติ
เสริมคางมาแล้วแต่ยังคางถอย ทำให้หน้าดูกลม ขาดมิติ คางไม่รับกับจมูกและหน้าผาก แบบนี้อาจต้องเปลี่ยนทรงหรือเลือกซิลิโคนที่เหมาะกับปัญหาคางมากยิ่งขึ้น
3. คางมะม่วง คางผิดรูป เห็นขอบซิลิโคน ชัดเจนเวลาเงยหน้า
บางคนอาจเกิดพังผืดรั้ง ทำให้คางผิดรูป หรือขอบซิลิโคนดันจนเห็นชัดแบบไม่เป็นธรรมชาติ หรือบางคนอาจพบปัญหาคางมะม่วง ลักษณะคือ คางป่องช่วงปลายคล้ายผลมะม่วง ทำให้ใบหน้าดูแข็ง ไม่ละมุน และเสียสัดส่วนเมื่อมองด้านข้าง
4. เสริมคางแล้วรู้สึกตึง เจ็บ บวมซ้ำเรื้อรัง
กรณีนี้อาจเกิดจากซิลิโคนกดเนื้อหรืออยู่ผิดชั้น เป็นสัญญาณเตือนให้รีบพบแพทย์ทันที ที่ Emma Clinic คุณหมอจะใช้เทคนิค Chin Design Locked ในการเสริมคาง เป็นการวางซิลิโคนใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูกแบบแนบสนิท ล็อกทรงสวยแน่น ลดโอกาสซิลิโคนเคลื่อน ทำให้ได้ทรงคางสวย Soft V สไตล์ Emma Clinic
แก้คางต้องรอให้คางเข้าที่ก่อนกี่เดือน?
การแก้คางควรทำเมื่อคางเดิม “เข้าที่แล้ว” อย่างน้อย 6 เดือน – 1 ปี เพื่อให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวเต็มที่ และประเมินปัญหาได้ชัดเจน หากรีบแก้ก่อนหน้า อาจเสี่ยงเกิดพังผืดเพิ่ม หรือผลลัพธ์ไม่แม่นยำ
“แก้คาง” ไม่ใช่แค่เปลี่ยนซิลิโคนใหม่! รู้ไหมว่าการวิเคราะห์ใบหน้าใหม่คือกุญแจสำคัญของคางสวย
แม้หลายคนจะคิดว่าการแก้คางคือแค่การนำซิลิโคนเก่าออกแล้วเปลี่ยนใหม่ให้สวยกว่าเดิม แต่ในความจริงแล้ว การแก้คางที่ได้ผลลัพธ์ดีและอยู่ได้นาน ต้องอาศัยการวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้าโดยรวม อย่างละเอียดก่อนเสมอ เพราะไม่ใช่แค่คางที่เปลี่ยน แต่ “มิติของใบหน้า” ทั้งหมดก็ต้องบาลานซ์กันด้วย
จุดที่ต้องประเมินให้แม่นก่อนการแก้คาง
1. โครงกระดูกขากรรไกร
บางคนเสริมคางไปแล้วรู้สึกว่า “คางเอียง” หรือ “ไม่สมดุล” จริง ๆ อาจเกิดจากแนวกระดูกกรามสองข้างไม่เท่ากัน การแก้ไขแบบเดิมจึงไม่ตอบโจทย์
2. แนว Ricketts e-line (Esthetic Line)
Ricketts e-line คือ เส้นสมมติที่ลากจากปลายจมูกไปยังปลายคาง ซึ่งใช้ประเมินความสมดุลของใบหน้าด้านข้าง
– ถ้าคางอยู่ “หลัง Ricketts e-line” มากเกินไป ใบหน้าจะดูถอย ดูไม่มีมิติ
– ถ้าคางเลย Ricketts e-line ออกมาชัด ใบหน้าอาจดูแข็ง ไม่ละมุน
การวางซิลิโคนให้สัมพันธ์กับแนว Ricketts e-line คือจุดตัดสินว่าคางที่ได้ “จะดูเป็นสไตล์ธรรมชาติหรือไม่”
3. ความสัมพันธ์กับหน้าผากและจมูก
คางที่สวยต้องอยู่ในสัดส่วน 1:1:1 กับหน้าผากและจมูก (Golden Ratio)
หากจมูกโด่ง แต่คางสั้นเกินไป ใบหน้าจะดูขาดสมดุล ต้องวิเคราะห์ร่วมกันเสมอ
4. ลักษณะเนื้อเยื่อเดิม พังผืด หรือพฤติกรรมหลังเสริม
บางรายที่มีพังผืด หรือเคยมีอาการอักเสบจากซิลิโคนเดิม จะต้องปรับเทคนิคแก้ใหม่ให้ตรงจุด ไม่ใช่แค่เปลี่ยนซิลิโคนเฉย ๆ การแก้คางให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องของวัสดุหรือรูปทรง แต่คือ “ศาสตร์ของการออกแบบใบหน้าใหม่ทั้งระบบ” โดยเฉพาะการวิเคราะห์แนว Ricketts e-line และโครงสร้างใบหน้าร่วมกัน
หากคุณเคยเสริมคางมาแล้วรู้สึกไม่มั่นใจไม่ว่าจะจากปัญหางคางเบี้ยว คางถอย คางมะม่วง หรือคางผิดรูป ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความรู้ด้าน Facial Design เพื่อผลลัพธ์ที่สวยสมดุล ดูละมุน และไม่ต้องแก้ซ้ำอีกในอนาคต ซึ่งคุณหมอทาง Emma Clinic เองก็ให้ความสำคัญในการออกแบบทรงคางในทุกเคสตามหลัก Ricketts e-line การออกแบบทรงคางที่ Emma Clinic ไม่ใช่เพียงแค่การใส่ซิลิโคน แต่ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจกับความสวยในแบบคุณที่เพิ่มมากขึ้น หากใครสนใจแก้ทรงคางใหม่กับทาง Emma Clinic สามารถทักมาสอบถามและจองคิวได้เลยค่ะ